กรรมนี้ท่านได้แต่ใดมา

“ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำดีได้ชั่วได้ดีมีถมไป” ใครเล่าจะรู้ว่าคำพูดล้อเลียนเล่น ๆ เช่นนี้ อาจจะเป็นคำพูดที่ดีที่สุดซึ่งกำลังสะท้อนภาพความจริงของสังคมไทยเรา ณ ขณะนี้ก็เป็นได้ 

ถ้าหากเรามองไปรอบ ๆ ตัวเราเริ่มตั้งแต่ตื่นนอน เราก็จะพบกับข่าวฆาตกรรมตามหน้าหนังสือพิมพ์ ที่มีตั้งแต่เรื่องชู้สาวเหยียบเท้ากันในผับ ไปจนถึงผลประโยชน์ทางการเมืองกับเงินมหาศาล พอเหยียบเท้าออกจากบ้านก็อาจจะได้เจอคนสูบบุหรี่ควันคลุ้งไปทั่วป้ายรถโดยสาร จนกลิ่นติดมาถึงที่ทำงานก่อนจะพบว่ามีพนักงานใหม่กำลังจะเลื่อนขั้นด้วยดีกรีหลานผู้จัดการบริษัท พอตกค่ำงานเลิกกลับบ้านระหว่างทาง ... "ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเจอวัยรุ่นบนม้าเหล็กตบทรัพย์เราหน้าปากซอยอีกก็เป็นได้”

ช่วงเวลาแค่หนึ่งวัน ก็ทำให้เราเห็นได้ว่าสังคมที่เราใช้ชีวิต มีหย่อมปัญหาเกิดขึ้นมากมายตลอดเวลา ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีที่จะจัดการกับปัญหาเหล่านี้แตกต่างกันออกไป บ้างก็เลือกที่จะเดินเข้าไปจัดการกับปัญหา บ้างก็หาวิธีให้คนอื่นจัดการให้ หรือท้ายที่สุดแล้วถ้าเราทำอะไรไม่ได้ เชื่อว่าหลายคนก็เลือกที่จะฝากความหวังให้กับ “กฎแห่งกรรม” ว่าจะจัดการคนเหล่านั้นในสักวันหนึ่งไม่วันนี้ก็ชาติหน้า ซึ่งก็ไม่แปลกและอาจจะนับได้ว่านี่เป็นความเชื่อหลักอย่างหนึ่งของสังคมไทยที่อย่างน้อยก็ช่วยให้เราสบายใจได้บ้าง

ถึงกระนั้นเราจะปล่อยให้พระเอกอย่าง “กฎแห่งกรรม” จัดการกับปัญหาเหล่านั้นเพียงลำพังจริง ๆ หรือ ?

แน่นอนว่าความเชื่อดังกล่าวอาจจะช่วยให้เรารู้สึกผิดน้อยลงก็ตาม แต่เชื่อได้ว่าถ้าเป็นไปได้หลายคนก็ไม่อยากปล่อยให้คนทำผิดลอยนวลนักหรอก แต่ทว่าในความเป็นจริง ถ้าเราทำความดีโดยเดินไปบอกวัยรุ่นให้หยุดเสพยาที่ข้างตึก หรือเดินไปแจ้งความว่าข้างบ้านเป็นแหล่งผลิตสินค้าเถื่อน ใครจะกล้ารับประกันได้ว่าเราในฐานะผู้หวังดี จะไม่มีดเสียบเอวหามส่งโรงพยาบาล หรือถูกอุ้มหายไปก่อนจะกลายเป็นศพไหลมาตามแม่น้ำสามวันให้หลัง ในเมื่อผู้มีอำนาจแทนที่จะเข้ามาช่วยจัดการก็กลับรวมหัวมาหากินกับประชาชนเสียเอง สุดท้ายเราก็ต้องมาฝากความหวังไว้กับพระเอกอยู่ดีนั่นแหละ

จากสถานการณ์แบบผิว ๆ ที่ยกตัวอย่างมานั้น แสดงให้เห็นว่าสังคมเมืองพุทธของเรานั้น แท้จริงเต็มไปด้วยกลุ่มก้อนอำนาจมากมายที่อยู่เหนือกฎหมาย เช่นนั้นในเมื่อความยุติธรรมที่มาจากนิติรัฐไม่สามารถจัดการได้ พวกเราประชากินข้าวแกงควรจะทำอย่างไรกันดี

แน่นอนว่าทางออกที่น่าจัดการกับอำนาจเหล่านี้ได้ ย่อมไม่ใช่การนิ่งเฉยแล้วปล่อยมันผ่านไป หากแต่เป็นทำในสิ่งที่เราคิดว่าเราทำได้ ตั้งแต่การสะกิดบอกคนข้าง ๆ สอนลูกสอนหลาน ไปจนถึงหาช่องทางที่จะเสริมกำลังของระบบนิติรัฐ เพื่อคัดง้างกับอำนาจเหล่าแอบแฝงเหล่านั้น แน่ล่ะว่าคนเพียงคนเดียวย่อมทำอะไรไม่ได้แต่ถ้าหากเราร่วมมือกันสองคน สิบคน ร้อยคน พันคน เพิ่มไปเรื่อย ๆ กำลังของเราก็จะมากขึ้น ยิ่งเมื่อบวกกับอาวุธชิ้นใหม่ถอดด้ามของยุคปฏิวัติดอกมะลิ อย่างอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงและเว็บไซท์เครือข่ายสังคมขนาดใหญ่แล้วล่ะก็ ถึงจะไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้า แต่เชื่อว่ายักษ์ใหญ่ทั้งหลายก็คงต้องเริ่มกลัวกันบ้างล่ะ ดูอย่างกรณีจีทีสองร้อยที่เล่นเอากองทัพต้องออกมาชี้แจงเป็นพัลวัน หรือกรณีล่าสุดอย่างข้าราชการซีเจ็ดดันไปเบ่งผิดที่จนโดนส่งต่อไปทั่วประเทศในข้ามคืน 

เหตุการณ์เหล่านี้กำลังแสดงให้เห็นว่า "ตาชั่ง" ของอำนาจที่เคยเอียงกระเท่เร่ ไปยังกลุ่มคนบางกลุ่มกำลังค่อย ๆ เอียงกลับมาตั้งตรงมากขึ้นด้วยน้ำหนักของพลังจากภาคประชาชนที่ทวีความเข้มแข็งขึ้นทุกวัน

แม้ในความเป็นจริงจะยังมีความดำมืดอีกมากมายที่กำลังของพวกเราตอนนี้ยังไม่อาจจัดการอะไรได้ ยอดของภูเขาน้ำแข็งที่ดูเหมือนใหญ่แล้วยังคงซ่อนก้นขนาดมหึมาไว้ด้านล่าง แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็รู้ว่านับจากนี้ไป เราอาจจะต้องพึ่ง “กฎแห่งกรรม” ให้น้อยลง ปล่อยให้พระเอกเขาไปพักบ้าง แล้วหันมาขยับแข้งขยับขา แล้วออกเดินกันเสียแต่เนิ่น ๆ เผื่อจะได้ทันเห็น ... ฟ้าสีทองผ่องอำไพ